ถ้าเห็นธงนี้ก็คงจะพอรู้ใช่ไหมค่ะว่ามันคือธงประเทศอะไร ใช่แล้วค่ะนี่คือธงประเทศกัมพูชา เนื่องจากเมื่อวันที่ 5- 7 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมาดิฉันกับเพื่อนๆและอาจารย์ สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตได้ไปเยี่ยมเยียนและเที่ยวชมประเทศกัมพูชา ในโครงการพหุวัฒนธรรมและการผลิตสื่อนานาชาติ เหตุการณ์ความประทับใจในวันนั้นจะเป็นยังไง เชิญติดตามได้เลยค่ะ
ก่อนที่เราจะเข้ากิจกรรมดิฉันขออธิบายประวัติประเทศกัมพูชาคร่าวๆก่อนแล้วกันนะคะ
แคมโบเดีย หรือ ประเทศกัมพูชา หรืออีกชื่อที่คนไทยเรียกกันว่า เขมร ประวัติของกัมพูชาเริ่มต้นจากการที่พระเจ้าวรมันที่2ได้รวบรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวกันในปีพุทธศักราช1345 ซึ่งอาณาจักรมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่า 600 ปี
พื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง พนมเปญ (Phnom Penh)
ประชากร 15 ล้านคน (พ.ศ. 2555)
ศาสนาประจำชาติ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท
(มหานิกาย 90 % และ ธรรมยุติกนิกาย 10 %)
ภาษา ภาษากัมพูชา
ระบอบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
วันชาติ 9 พฤษจิกายน พ.ศ. 2496
สกุลเงิน เรียล ตัวย่อ KHR
ดอกไม้ประจำชาติ ดอกลำดวน ดอกสีขาวเหลือง มีกลิ่นหอมในเวลาค่ำคืน
ชาวคณะของเราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดด้วยรถโค้ช หลังจากที่ออกเดินทางมาแสนนาน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือ จังหวัดเสียมเรียบ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา และสถานที่ที่เาเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับบ้านเมืองของเขา ก็คือ
ทะเลสาบน้ำจืดซึ่งเกิดจากแม่น้ำโขงขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีแม่น้ำโขงไหลผ่านยาว 500 กิโลเมตร จากนั้นไหลเข้าสู่เวียดนามลงสู่ทะเลจีนใต้
ที่โตนเลสาบ จะมีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ใช้ชีวิตด้วยการอาศัยอยู่บนเรือนแพ เรือ ของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งดำรงชีวิตอยู่กับการหาปลาจากดตนเลสาบมาขาย มีบ้านพัก โรงเรียน สถานีตำรวจในน้ำ บนฝั่งมีร้านอาหาร และร้านขอฝากนักท่องเที่ยว
สถานที่ที่ 2 ที่เราเดินทางไปกัน นั้นก็คือ
วัดใหม่
หรือ "วัดทไม" เป็นสถานที่ที่รวบรวมกระดูก
กะโหลกของผู้เสียชีวิตชาวกัมพูชาจากน้ำมือของชาวเขมรแดง
ที่เกิดขึ้นในยุคเขมรแดงที่พลพต
ผู้นำเขมรแดงปกครองและเคยใช้เป้นสถานที่ประชุมและประหารชีวิตชาวเขมรในยุค
สงครามล้างเผ่าพันธ์ ซึ่งภายในวัดจะมีภาพเก่าๆให้ดูเป็นหลักฐาน
และเพราะกว่าการเดินทางจะถึงก๋เที่ยงถึงบ่ายเข้าไปแล้ว และยิ่งในแต่ละสถานที่ก็ต้องใช้เวลาในการสำรวจ เดินเรียนรู้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ในวันแรกที่ไปถึงเราจึงเดินทางไปสถานที่สำคัญๆแค่เพียง 2 แห่งเท่านั้น แต่แน่นอนค่ะว่าวันที่ 2 จะต้องเที่ยวกันให้สนุกสนานแน่นอนเพราะเรามีเวลาเดินทางกันทั้งวัน
เช้าตรู่วันที่ 2 พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้า และสถานที่แรกที่เราเดินทางไปนั่นก็คือ
นครวัด
เป็นศาสนสถานประจำพระนคร
โดยใช้หินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ตัวเทวสถานไดรับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
จนกลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลือรอดมาจน
ถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ
นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง
และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา
ซึ่งปรากฎในธงชาติและเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ
ตลอดจนได้รับการลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ "เมืองพระนคร"
สถานที่ต่อไปที่เราเดินทางไปกันนั่นก็ คือ
ปราสาทบันทายศรี
หรือ "บันเตียไสร" ในภาษากัมพูชา หรือบางคนก็อาจจะเรียกได้ว่า "ปราสาทสีชมพู" มีความหมายว่า ปราสาทสตรหรือป้อมสตรี เป็นปราสาทหินอ่อนที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในกัมพูชา มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทที่มีความยาวนานถึง 1000 ปี แต่ยังมีลวดลายที่คมชัด เหมือนสร้างเสร็จใหม่ๆ
สถานที่ต่อไปที่เราเดินทางไป นั่นก็คือ
นครธม
หมายถึง เมืองนครหลวง ที่ตั้งอยู่ภายในพระนคร มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นปราสาทหลักของพระเจ้าวรมันที่ 7 เป็นเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักขอม โดยมีสิ่งที่น่าสนใจคือ ประตูทางทิศใต้ของเมือง มีรูปประติมากรรมลอยตัวของเทวดาและอสูรุดนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทร
ซึ่งภายในนครธมนี่มีปราสาทอยู่ภายในด้วยล่ะค่ะ ซึ่งก็ได้แก่สถานที่ต่อไปเลย นั่นก็คือ
ปราสาทบายน
เป็นปราสาทหินของกัมพูชา อยู่บริเวณใจกลางนครธม นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย อาคารมีลักษณะพิเศษคือ รูปหน้าหัน 4 ทิศ แต่บริเวณศูนย์กลางของอาคารจะมีหลายหน้า
และอีกหนึ่งสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ
ปราสาทตาพรม
จัดเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบด้วย
โคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการแกะสลักภาพตามความคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ภายในปราสาทมีการแกะสลักเพื่อจารึกถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้
และสถานที่สุดท้ายที่เราเดินทางไปกันนั่นก็คือ
เขาพนมบาเค็ง
หรืออีกชื่อที่เรียกว่า "วนัมกันตาล" เป็นเทวสถานที่สร้างตามลัทธิไศวนิกาย
เป็นภูเขาใจกลางเมืองและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม
ซึ่งสามารถเห็นปราสาทนครวัด
และบรรยากาศยามเย็นที่มีพระอาทิตย์ตกเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก
จะเห็นได้ว่า ประเทศกัมพูชานั่น มีความโดดเด่นทางด้านประวัติศาสตร์ที่สวยงามเป็นอย่างมาก และมีการอนุรักษ์ รักษาเก็บไว้อย่างดี ซึ่งถ้ามีโอกาสก็ขอลองให้ท่านลองไปเที่ยวชมประเทศกัมพูชาด้วยตัวเองได้เลยนะคะ การเดินทางก็สบาย อยู่ใกล้ๆประเทศไทยของเราแค่นี้เอง รับรองได้ว่าจะเป็นอีก 1 ทริปที่จะประทับใจไม่รู้ลืมเลยค่ะ
สุดท้ายนี้ดิฉันต้องขอตัวลาไปก่อน ไว้มีโอกาสหน้าได้เดินทางไปที่ไหน จะนำมาแลกเปลี่ยนบอกเล่าให้ฟังอีกนะคะ บ๊ายยยย บายยย ทิ้งท้ายไว้ด้วยรูปกลุ่มดิฉันเอง บ๊ายบายอีกครั้งค่ะ
This work is licensed under a Creative Commons Attribution 2.0 Generic License.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น